เหรียญคริปโตที่น่าลงทุน2022

เหรียญคริปโตที่น่าลงทุน2022
  • อันดับ 1: Bitcoin (BTC)
  • อันดับ 2: Ethereum (ETH)
  • อันดับ 3: Tether (USDT)
  • อันดับ 4: Binance Coin (BNB)
  • อันดับ 5: USD Coin (USDC)
  • อันดับ 6: Ripple (XRP)
  • อันดับ 7: Terra (LUNA)
  • อันดับ 8: Cardano (ADA)
  • อันดับ 9: Solana (SOL)
  • อันดับ 10: Avalanche (AVAX)
Bitcoin (BTC)

อันดับ 1: Bitcoin (BTC)

บิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) ซึ่งเปิดตัวในระบบบล็อกเชน (Blockchain)

ปัจจุบันบิตคอยน์มีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ ด้วยปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลในแต่ละวัน จำนวนบิตคอยน์มีอยู่จำกัดที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2022 บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ หรือราว 90% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมด โดยคาดว่าบิทคอยน์จะถูกขุดหมดประมาณปี 2140

การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์จะเป็นอิสระจากรัฐบาลหรือตัวกลางใด ๆ โดยจะถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (DLT) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)

วิธีการได้บิทคอยน์มาครอบครองนั้น แบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่

  • การขุดเหรียญใหม่ด้วยคอมพิวเตอร์ (Mining)
  • การซื้อขาย (Trading) ซึ่งราคาของบิทคอยน์ในปัจจุบันก็มีมูลค่าสูงสุดตามราคาตลาด โดย 1 BTC มีค่ากว่า 2 ล้านบาทแล้ว จึงเป็นเหรียญที่ใคร ๆ ต่างให้ความสนใจนั่นเองค่ะ
Ethereum (ETH)

อันดับ 2: Ethereum (ETH)

อีเธอร์เลียม (Ethereum) หรือ ETH เป็นอีกเหรียญที่ทำงานบนระบบบล็อกเชน ซึ่งถูกพัฒนาโดยชาวรัสเซียชื่อ Vitalik Buterin ในปี 2015 ) เป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยมีเหรียญ “อีเธอร์” (ETH) เป็นสกุลเงินหลักทำงานบน “Ethereum Blockchain”

จุดเด่นคือ มีรูปแบบเป็น Open Source ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานเข้ามาพัฒนาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด อีกทั้งยังมีระบบ Smart Contract ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายธุรกิจ เช่น การชำระค่าบัตรเครดิต, การเช่ารถยนต์ และการโอนเงินข้ามประเทศ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันอีเธอร์เลียมก็มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงเป็นอันดับ 2 รองจากบิทคอยน์ค่ะ

ซึ่งมีหลาย ๆ เหรียญในโลกคริปโตฯ ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนนี้เช่นกัน และยังเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดมากเป็นอันดับสองในตลาดคริปโตฯ รองจากบิทคอยน์ด้วย แต่ไม่ได้มีจำนวนจำกัดเหมือนบิทคอยน์ ซึ่งล่าสุดในเดือนมีนาคม 2022 มีเหรียญอีเธอร์หมุนเวียนในระบบกว่า 119 ล้านเหรียญแล้ว

นอกจากนี้อีเธอเรียมยังถูกใช้งานในรูปแบบของโทเคนที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ (Non-Fungible Token) หรือ เอ็นเอฟที (NFT) สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะ รวมถึงไอเทมในเกมด้วย

Tether (USDT)

อันดับ 3: Tether (USDT)

เหรียญ Tether (USDT) ถูกสร้างขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี 2014 โดยบริษัท Tether Limited ที่เดิมทีเหรียญนี้มีชื่อว่า Realcoin ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Tether ในภายหลัง เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกในกลุ่ม “Stablecoin” ที่อ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงิน Fiat อย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในสัดส่วน 1:1 โดยถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสกุลเงิน Fiat และสกุลเงินดิจิทัล

ในเรื่องของความมีเสถียรภาพ ความโปร่งใส และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำที่สุด ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้เทเธอร์สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเก็บมูลค่ามากกว่านำมาใช้ในรูปแบบของการลงทุน เพื่อเก็งกำไร

มีแนวคิดของการสร้างเหรียญดิจิทัลนี้ขึ้นมาก็คือ เพื่อให้สามารถใช้เป็นเหรียญดิจิทัลที่แทนเงิน US Dollar (USD) ได้ในอนาคต โดยตรึงราคาให้คงที่ 1 USD นั่นเอง จึงถือว่าเป็นเหรียญดิจิทัลที่มีความเสถียรสูง และเรียกได้ว่าเป็น Stablecoin เหรียญแรกในตลาด Cryptocurrency

Binance Coin (BNB)

อันดับ 4: Binance Coin (BNB)

ไบแนนซ์ คอยน์ (Binance Coin) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดย “Binance” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มแรกเหรียญ BNB ทำงานบน Ethereum Blockchain ด้วยมาตรฐาน ERC-20 แต่ในระหว่างการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ในเดือนกรกฎาคม 2017 ก็ได้เปลี่ยนไปใช้ “Binance Chain” ที่พัฒนาโดย Binance เอง

Binance เป็น Platform แลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเหรียญที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในระบบ Blockchain ของ Binance โดยเฉพาะ สามารถใช้ทำธุรกรรมต่าง ๆ บน Binance เพื่อประหยัดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อีกทั้งยังใช้ซื้อขายสินค้า ชำระค่าบัตรเครดิต รวมไปถึงการใช้ร่วมกับโครงการพิเศษอื่น ๆ ที่ทาง Binance จะพัฒนาเพิ่มขึ้นมาในอนาคตได้อีกด้วย มีจำนวนจำกัดที่ 200 ล้านเหรียญและมีการรักษาสมดุลไม่ให้ผันผวนอยู่เสมอ

และในทุก ๆ ไตรมาส Binance จะนำกำไร 20% ของบริษัทมาทำลายหรือ “เผา” เหรียญ BNB ทิ้ง เพื่อลดปริมาณการหมุนเวียนของ Binance Coin ในตลาด โดยจะซื้อคืนจนกว่าจะเหลือ 50% ของอุปทาน (Supply) ทั้งหมด  

USD Coin (USDC)

อันดับ 5: USD Coin (USDC)

USD Coin (USDC) คือ สกุลเงินดิจิทัลชนิดหนึ่งที่ใช้เรียกเหรียญที่มีราคาคงที่ (stablecoin) สามารถแลก USD Coin ในอัตรา 1 เหรียญ ต่อ US$1.00 ได้เสมอ ซึ่งทำให้มันมีราคาที่คงที่ บน Coinbase ลูกค้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถรับรางวัลได้จากทุกๆ USD Coin ที่พวกเขาถือครอง

USD Coin เปิดตัวในปี 2018 จากความร่วมมือกันระหว่าง Coinbase และ Circle ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ได้ USDC ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลกลุ่ม Stablecoin ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองของตลาดคริปโตฯ

เหรียญ USDC ไม่ได้ออกหรือได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิด (Open Source) ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้

Ripple (XRP)

อันดับ 6: Ripple (XRP)

Ripple (XRP) นี้เป็นการเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดปัญหาการทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้ เหรียญ Crypto นี้ถูกพัฒนาจาก Ripple มีจุดมุ่งหมายเพิ่มลดอุปสรรคในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศที่มักจะมีค่าธรรมเนียมสูงและต้องใช้เวลานาน อีกทั้งยังไม่มีความเป็นส่วนตัว

ดังนั้นจึงพัฒนาระบบ Blockchain แบบ Private ขึ้นมารองรับ โดยใช้งานผ่านธนาคารที่มาร่วมพัฒนาด้วยกันเท่านั้น ซึ่งแต่ละธนาคารที่มาเข้าร่วมก็เป็นธนาคารใหญ่และมีชื่อเสียง อีกทั้งยังไม่ได้หยุดนิ่งเพียงเท่านี้แต่ยังมีการพัฒนาโครงการพิเศษต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเหรียญในอนาคตอีกด้วย

Terra (LUNA)

อันดับ 7: Terra (LUNA)

Terra หรือ LUNA เป็นโทเคนและเป็นแพลตฟอร์ม Dual-Token ที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาสำหรับเหรียญ Stablecoin ชั้นนำภายในกลุ่มสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ

ผูกด้วย Algorithm เฉพาะ จึงมีความเสถียรภาพสูงขึ้นกว่าเดิม เหรียญ Terra (Luna) นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการตรึงและรักษาดุลยภาพของเหรียญ Stablecoin ที่ชื่อว่า UST ใน Blockchain เดียวกัน โดย Blockchain ดังกล่าวใช้ระบบ Fiat-pegged Stablecoins ที่มีเสถียรภาพสูง และยังมีการสร้างสกุลเงินดิจิทัลตามค่าเงินของประเทศต่าง ๆ ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้จะอิงจาก Algorithm ของทางระบบมากกว่าค่าเงินจริง ๆ ที่อิงจากนโยบายของแต่ละประเทศ และยังได้รับการยอมรับจากทางรัฐบาลและธนาคารต่าง ๆ ของประเทศเกาหลีใต้โดยตรงอีกด้วย

Cardano (ADA)

อันดับ 8: Cardano (ADA)

มาพร้อมกับ Smart Contract ประสิทธิภาพสูง เหมาะถือไว้ระยะยาว Cardano ถูกก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2015 โดย ชาร์ลส์ ฮอสกินสัน เพื่อให้สามารถทำสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชน (Smart Contract) ได้ โดยมีจุดประสงค์ให้สามารถสร้างระบบการเงินแบบ DeFi (Decentralized Finance) ได้เหมือนกับ Ethereum

Cardano หรือ ADA คือเครือข่ายบล็อกเชนรูปแบบหนึ่ง โดยเครือข่ายดังกล่าวจะมีเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี Cardano หรือ ADA ไว้ใช้เป็นค่าธรรมเนียม (Gas) ในการทำธุรกรรม เฉกเช่นเดียวกับเครือข่ายอย่าง Ethereum, Binance Smart Chain, Solana และเครือข่ายอื่นๆ อีกมากมายบนโลกคริปโตเคอร์เรนซี

ดังนั้น ถือว่าเป็นเหรียญ Crypto ที่มีมูลค่าต่อเหรียญไม่สูง แต่วิสัยทัศน์ของกลุ่ม Cardano Foundation ผู้สร้าง จึงทำให้เหรียญนี้มีความน่าสนใจ และควรซื้อเก็บไว้ถือในระยะยาว โดยเหรียญ Crypto นี้ จัดอยู่ในกลุ่ม Proof of Skate Blockchain เช่นเดียวกับ Etheruem และมีจุดเด่นอยู่ที่การทำงานของ Smart Contract ที่มีประสิทธิภาพสูงชนิดที่แซงหน้า Etheruem และมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า ซึ่งในปัจจุบัน Cordano ก็เป็นอีกหนึ่งเหรียญ Crypto ที่ติดอยู่ในอันดับ Top 10 ด้วยมูลค่าต่อเหรียญราว ๆ 2 USD นั้นเองค่ะ

อันดับ 9: Solana (SOL)

จุดเด่นของของ Solana คือ ความรวดเร็ว ปลอดภัย และทนต่อการถูกเซ็นเซอร์ ที่ช่วยมอบความยืดหยุ่นจากโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิด (Open Source) ที่จำเป็นต่อการสร้างแอปพลิเคชันในการปรับใช้กับธุรกรรมเป็นจำนวนมาก

SOL คือ เหรียญในสาย DeFi ที่ก่อตั้งขึ้นมาในเดือนมีนาคม 2017 โดยมูลนิธิ Solana ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อธิบายการทำงานของ Solana แบบง่ายๆก็คือเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่เข้ามา เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องของความเร็ว ในการทำธุรกรรมตลอดจนค่าธรรมเนียมที่แพงโดยมีนวัตรกรรมที่เรียกว่า Proof-of-History

โดยแพลตฟอร์ม Solana มีไว้สำหรับการทำ Smart Contact (กระบวนการทางดิจิทัล ที่กำหนดขั้นตอนการทำธุรกรรมโดยอัตโนมัติไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง) ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Decentralized (DApps) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เปิดโอกาสมากมายในโลกของการเงินกระจายอำนาจ (DeFi) และ NFTs

อันดับ 10: Avalanche (AVAX)

Avalanche ได้รับการยอมรับเป็นแพลตฟอร์มที่มีความเร็ว ความสามารถในการขยายตัว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่ง โดย Avalanche ใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof-of-stake ร่วมกับการมีโครงสร้างเครือข่ายแบบ DAG (Directed Acyclic Graphs)

AVAX คือโทเคนหลักของ Avalanche ใช้เป็นค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งบนเครือข่ายหลัก และเครือข่ายย่อย (Subnets) ของ Avalanche ผู้ถือโทเคนยังสามารถนำ AVAX ไปล็อก (Staking) เพื่อช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับเครือข่ายและรับผลตอบแทนได้อีกด้วย ทั้งนี้ AVAX มีหน่วยย่อยคือ nAVAX ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 0.000000001 AVAX

เหรียญ Smart Contract นี้ได้รับการพัฒนาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ มีจุดมุ่งหมายในด้าน DeFi ที่พยายามลดอุปสรรคและข้อจำกัดของตัวกลางอย่างธนาคาร เพื่อให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจาก Deloitte ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและธุรกิจระดับโลก มุ่งเน้นค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ต่ำ อีกทั้งยังมีความเร็วในการทำธุรกรรมน้อยกว่า 3 วินาที จากมูลค่าที่ผ่านมานั้นมีการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง